
เสวนาสภาอาจารย์ ครั้งที่ 8/2553
เรื่อง “ทางออกของความแตกแยกของสังคมและการเมืองไทย”
ปัจจุบันสังคมไทยกำลังเผชิญกับความแตกแยกทางความคิดในขั้นที่รุนแรง มีการแบ่งฝ่ายเป็นสีต่าง ๆแม้แต่ในที่ทำงานในสถาบัน หรือครอบครัวเดียวกันก็ตาม ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การทำรัฐประหารในปี 2549 มาถึงการก่อม็อบยึดสนามบิน ทำเนียบรัฐบาล ย่านชุมชนธุรกิจใจกลางเมือง ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นเงินหลายแสนล้านบาท มีจำนวนผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย ยังมีความสับสนในแนวทางทางแก้ไข สภาพของบ้านเมืองในปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าอยู่ในสภาวะสุญญากาศ น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ทางสภาอาจารย์ฯ จึงได้จัดเสวนาสภาอาจารย์ฯ ครั้งที่ 8/2553 เมื่อวันพุธที่ 7 กรกฎาคม 2553 เวลา 12.00-14.00 น. ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานอธิการบดีวิทยาเขตหาดใหญ่ นี้ขึ้น โดยมี ผศ.ปิยะ กิจถาวร คณบดีคณะรัฐศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ มีผู้เข้าร่วมเสวนาดังนี้ รศ.ดร.วิชัย กาญจนสุวรรณ คณะวิทยาการจัดการ, รศ.ดร.ศิโรช จิตต์สุรงค์ ประธานสภาอาจารย์ฯ, รศ.ดร.ศิริพันธุ์ หิรัญญะชาติธาดา เลขานุการสภาอาจารย์ฯ, รศ.ดร.ปิ่น จันจุฬา สมาชิกสภาอาจารย์ฯ พอสรุปประเด็นได้ดังนี้
1. สาเหตุของความแตกแยกของสังคมและการเมืองไทย มาจากสาเหตุหลักอะไร?
พอสรุปประเด็นหลักได้ 4 ประเด็นดังนี้
1.1 ด้านสังคม
เกิดจากความเหลี่ยมล้ำในทางสังคมที่ขยายวงกว้างไปมาก การติดยึดค่านิยมในระบบอุปถัมถ์ โดยเฉพาะสถาบันหลักของประเทศ มีค่อนข้างรุนแรง ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ย้ายข้ามสายงาน ความรู้ ความสามารถ เล่นพรรค เล่นพวก อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสภาพสังคม และสภาพปัญหาด้านต่าง ๆ มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้เกิดความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ อย่างรุนแรงมากขึ้น
1.2 ด้านการเมือง
การไม่เห็นคุณค่า และการไม่ยึดมั่นกระบวนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในระบอบประชาธิปไตย แต่แก้ปัญหาโดยการใช้อำนาจ ใช้การครอบงำ (dominate) ทั้งทางความคิด การใช้เงิน การใช้ความรุนแรง การใส่ร้ายป้ายสี การกล่าวหาซึ่งกันและกัน สถาบันทางการเมือง เช่น พรรคการเมือง รัฐสภา องค์กรอิสระต่าง ๆ มีความอ่อนแอ
1.3 ด้านการบริหาร
เป็นที่รับรู้กันว่ามีกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะในทางธุรกิจเข้าไปมีอิทธิพลในพรรคการเมือง ในรัฐบาล ในระบบราชการ ผู้แทนประชาชนทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ต่างก็ทำทุกวิถีทางที่จะไปเป็นรัฐบาล
1.4 ด้านบทบาททหารในทางการเมือง
เมื่อรัฐบาลต้องพึ่งพิง อาศัยอำนาจของทหารสนับสนุนเพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ทำให้สถาบันทหารได้ปรับตัวเข้ามาอิทธิพลเหนือฝ่ายการเมืองมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่นับตั้งแต่พฤษภาคม 2535 เป็นต้นมา บทบาท และความชอบธรรมของทหารในการเข้าไปมีบทบาททางเมืองได้ลดลงเป็นอย่างมาก
2. ทางออกที่ดีของสังคมไทยควรจะเป็นอย่างไร?
2.1 มองในแง่บวก ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน ประเทศไทยเรายังมีภาพรวมที่ดีมาก ประเทศไทยยังไม่เคยเจอปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง จนเกิดสภาวะสงคราม และเกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมากเหมือน ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น เวียดนาม เขมร ลาว อินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม เราน่าจะอาศัยโอกาสนี้ อาจจะเรียกว่าเป็นโอกาสทอง หันมาดูตัวของเราเอง ทำอย่างไรที่เราจะก้าวข้ามภาวะวิกฤตนี้ไปได้ มีบทเรียนจากประเทศต่าง ๆ ให้เราได้ศึกษาเป็นอย่างดี
2.2 การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยใช้ระบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ยัง เป็นแนวทางปกครองดีที่สุดต่อประเทศไทยในขณะนี้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือแก้ไข คลี่คลายสถานการณ์ความขัดแยงในปัจจุบัน ซึ่งน่าจะมีอยู่ 2 ทางเลือก คือ การจับอาวุธเข้าต่อสู้กัน และ หรือให้ประชาชนเป็นผู้คลี่คลายปัญหาความขัดแย้ง ผ่านการเลือกตั้งในระบบรัฐสภา
2.3 การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกที่เกิดขึ้น ต้องยึดหลักประชาธิปไตย โดยใช้การเผชิญหน้าของทุกฝ่าย เพื่อหาทางออกผ่านกลไกในระบบรัฐสภา คณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ ที่กำลังทำงานน่าจะเป็นการซื้อเวลาของรัฐบาลมากกว่า
2.4 แนวทางในการแก้ปัญหาระยะยาว
อันดับแรก สร้างความเข้มแข้งให้ระบบพรรคการเมือง ทำให้พรรคการเมืองหลุดออกจากการครอบงำของกลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ในกรณีของประเทศเกาหลี ได้มีการออกกฎหมายห้ามพรรคการเมืองรับเงินจากบริษัทต่าง ๆ เพื่อลดอิทธิพลของอำนาจเงิน พรรคการเมืองจะต้องแสวงหาการสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้น
อันดับที่สอง สร้างการเรียนรู้และการเห็นคุณค่าของการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย โดยกำหนดให้มีการบังคับเรียนเรื่องประชาธิปไตย ประวัติศาสตร์การเมือง การปกครองของไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่สำคัญทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475, เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม, 6 ตุลาคม, พฤษภาทมิฬ ในปี 2535 ในทุกระดับการศึกษา โดยเฉพาะระดับอุดมศึกษา เหมือนหลายประเทศที่ทำได้สำเร็จเป็นแบบอย่างที่ดีมาแล้ว มหาวิทยาลัยควรเข้ามามีบทบาทตรงจุดนี้มากขึ้น.